พระศิวะ

ยา สฺฤษฺฏิะ สฺรษฺฏุราทฺยา วหติ วิธิหุตํ ยา หวิรฺ ยา จ โหตฺรีเย เทฺว กาลํ วิธตฺตะ ศฺรุติวิษยคุณา ยา สฺถิตา วฺยาปฺย วิศฺวมฺ |

ยามาหุะ สรฺวพีชปฺรกฺฤติริติ ยยา ปฺราณินะ ปฺราณวนฺตะ

ปฺรตฺยกฺษาภิะ ปฺรปนฺนสฺ ตนุภิรวตุ วสฺ ตาภิรษฺฏาภิรีศะ ||

พระศิวะมีรูป 8 รูป ที่เรารู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส รูปหนึ่ง คือ ธาตุแรกที่พระพรหมา ผู้สร้างโลกสร้างขึ้น (น้ำ) รูปหนึ่งคือสิ่งที่นำเครื่องสังเวย (เนยใส เป็นต้น) ที่ผู้ทำพิธีใส่เข้าไปในไฟพิธีไปให้เทพ (ไฟ) รูปหนึ่งคือพราหมณ์ผู้ประกอบยัญพิธี รูปสองรูปคือผู้กำหนดกาลเวลา (พระจันทร์และพระอาทิตย์) รูปหนึ่งคือ สิ่งที่แทรกซึมอยู่ทั่วจักรวาลและเป็นสิ่งที่ทำให้การได้ยินเสียงเกิดขึ้นได้ (อากาศ) รูปหนึ่งคือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าเป็นเชื้อพื้นฐานสำหรับทุกสิ่ง(ดิน) และรูปหนึ่งคือสิ่งที่สิ่งมีชิวิตทั้งหลายใช้หายใจ(ลม) ขอพระศิวะนั้นโปรดปกปักรักษาพวกท่านด้วยเถิด

พระศิวะซึ่งคนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักในนามว่าพระอิศวร เป็นหนึ่งในเทพที่สูงสุดของศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ พระพรหมา พระวิษณุ และพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพที่มีรูปปรากฏ เพื่อทำหน้าที่ สร้างโลก รักษาโลกและทำลายโลก ตามลำดับ แทนพระเป็นเจ้าสูงสุด (อีศฺวร) ซึ่งไม่มีรูปปรากฏแต่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ เมื่อสิ้นกัลป์ เทพทั้งสามก็จะไป

ดูหลักการถ่ายถอด(transaliteration) คำภาษาสันสกฤตเป็นภาษาไทย และการออกเสียงหน้า 43

พฺรหฺมา กับ พฺรหฺม ในภาษาสันสกฤตมีความหมายต่างกัน คำแรกเป็นคำนามเพศชาย หมายถึง พระหรหมที่มีรูปร่างปรากฏ มีหน้าที่สร้างโลกแทนพระเป็นเจ้าสูงสุด (อีศฺวร) ส่วนคำที่สองเป็นคำนามไม่มีเพศ หมายถึงตัวความจริงสูงสุด ซึ่งไม่มีคำพูดใดๆจะอธิบายได้ เป็น ตัวความจริง เป็นตัวความรู้(ชญาน) และเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ้นสุด(สตฺยํ ชฺญานํ อนนฺตํ พฺรหฺม)

กาลเวลาตามคัมภีร์ปุราณะ :

15 นิเมษ = กาษฺฐ

30 กาษฺฐ= กลา

30=มุหูรฺต= หนึ่งวัน (กลางคืนและกลางวัน)

30 วัน= หนึ่งเดือน=หนึ่งวันของปิตฤ (บรรพบุรุษซึ่งมีโลกอยู่อีกโลกหนึ่ง)

อุตฺตรายณ(ช่วงเวลาหกเดือนที่พระอาทิตย์อยู่ซีกโลกภาคเหนือ)=กลางวันของเทพ

ทกฺษิณายน(ช่วงเวลาหกเดือนที่พระอาทิตย์อยู่ซีกโลกภาคใต้)=กลางคืนของเทพ

หนึ่งปีของมนุษย์=หนึ่งวันของเทพ (กลางคืนและกลางวัน)

30ปีมนุษย์=หนึ่งเดือนของเทพ

360ปีมนุษย์=หนึ่งปีเทพ

3030ปีมนุษย์=หนึ่งปี สปฺตรฺษิ (ฤษีทั้งเจ็ด)

9090ปีมนุษย์=หนึ่งปีธฺรุว

รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังที่อยู่ทั่วจักรวาล และเมื่อเริ่มกัลป์ใหม่ เทพทั้งสามก็จะปรากฏใหม่อีกครั้งหนึ่งเพื่อทำหน้าที่อย่างเดิม กำเนิดพระศิวะตามที่กล่าวถึงในคัมภีร์ปุราณะ มีมากและเรื่องราวแตกต่างกันไป ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

เมื่อเริ่มต้นกัลป์ ขณะที่พระพรหมา ทำสมาธิอยู่เด็กผิวสีน้ำเงินเข้มได้ปรากฏขึ้นที่ตักของพระองค์ และเด็กนั้นได้วิ่งไปรอบๆพร้อมกับร้องให้ พระพรหมาห้ามไม่ให้ร้องเด็กคนนั้นได้ขอให้พระพรหมาตั้งชื่อให้พระพรหมาได้ตั้งชื่อให้ เด็กคนนั้นว่า รุทฺร แต่เด็กคนนั้นก็ยังร้องอีกเจ็ดครั้งและพระพรหมาก็ได้ตั้งชื่อให้อีกเจ็ดชื่อ คือ ภว ศรฺว อีศาน ปศุปติ ภีม อุคฺร และ มหาเทว ซึ่งเป็นรูป(มูรฺติ)ทั้งแปดของเด็กคนนั้น และได้มอบให้ น้ำ ดิน ลม ไฟ อากาศ(ท้องฟ้า) พราหมณ์ผู้ทำพิธี พระจันทร์ และพระอาทิตย์ เป็นเทพประจำรูปแต่ละรูปนั้น และได้มอบเทพีแปดองค์ให้เป็นชายา ได้แก่ สุวรฺจลา อุษา วิเกศี ศิวา สฺวาหา ทิศา ทิกฺษา และโรหิณี (วิษณุปุราณะ)

thep_13_4[1]   thep_13_3[1]

ในอีกที่หนึ่งกล่าวว่า โอรสที่เกิดจากการคิดของพระพรหมา คือ สนก สนนฺทน สนาตนและสนัตกุมาร ไม่สนใจที่จะมีลูกสืบเชื้อสาย พระพรหมาทรงพระพิโรธ ร่างร่างหนึ่งได้เกิดระหว่างพระโขนง(คิ้ว)ของพระองค์ ร่างนั้นได้ร้องขึ้นและขอชื่อจากพระพรหมา พระพรหมาจึงตั้งชื่อให้ สิบเอ็ดชื่อ คือ มนฺยุ มนุ มหินส มหานฺ ศิว ฤตุธฺวช อุคฺรเรตสฺ ภว กาม วามเทว และ ธฺฤตวฺรต ส่วนในอีกที่หนึ่งมีชื่อว่า อช เอกปท อหิรฺพุธฺนฺย ตฺวษฺฏา รุทฺร หร ศมฺภุ ตฺรยมฺพก อปราชิต อีศาน และ ตฺริภุวน นี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รุทฺร สิบเอ็ดองค์ พระพรหมาได้มอบให้เทพทั้งสิบเอ็ดประทับอยู่ที่ส่วนต่างๆของร่างกาย คือ หัวใจ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ลมปราณ และอยู่ที่ ลม ไฟ น้ำ ดิน พระจันทร์ และพระอาทิตย์ และให้เทพี 11 องค์เป็นชายา คือ ธี วฺฤตฺติ อุศนา อุมา นิยุตา สรฺปิสฺ อิลา อมฺพิกา อิราวตี สุธา และ ทิกฺษา

พระศิวะมีนางคงคาและปารฺวตี เป็นพระชายา พระปารฺวตี มีพระนาม ต่างๆ ดังนี้ อุมา

360,000ปีมนุษย์=1,000 ปีเทพ

กาลเวลาแบ่งตามยุค 4 หรือ จตุรฺยุค:

ระยะเวลา (ปีเทพ) สนฺธฺยา (ปีเทพ) สนฺ ธฺยำศ(ปีเทพ) รวม(ปีเทพ)

1. กฤตยุค 4000 400 400 4800

2. เตตฺรายุค 3000 300 300 3600

3. ทฺวาปรยุค 2000 200 200 2400

4. กลิยุค 1000 100 100 1200

เวลา 4 ยุครวมกัน= 12,000 ปีเทพ=4,320,000 มีมนุษย์

หนึ่งวันของพระพรหมา=หนึ่งกัลป์=1000 จตุรฺยุค ซึ่งในช่วงหนึ่งวันของพระพรหมา มีพระมนุครองโลก 14 องค์ ช่วงเวลาที่พระมนุครองโลกแต่ละองค์เรียกว่า มนฺวนฺตร=306,720,000 ปีมนุษย์ (The Brahmānda Purāna, tranlated and annotated by Ganesh Vasudeo Tagare, intro.pp.xxxv-xxxviii)

กาตฺยายนี เคารี กาลี ไหมวตี อีศฺวรี ศิวา ภวานี รุทฺราณี ศรฺวาณี สรฺวมงฺคลา อปรฺณา ทุรฺคา มฺฤทานี จณฺฑิกา อมฺพิกา อารฺยา ทากฺษายณี คิริชา เมนกาตฺมชา จามุณฺฑา กรฺณโมฏี จรฺจิกา และไภรวี เมืองของพระศิวะ ชื่อ ยโศมตี อยู่ที่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของยอดเขามหาเมรุ

ลักษณะของพระศิวะ มีดังนี้ ทรงมุ่นมวยผม(ชฏา)สีแดงซึ่งเรียกว่า กปรฺท พระศิวะจึงมีพระนามว่า กปรฺที มีพระเนตร 3 ดวง จึงมีพระนามว่า ตฺริเนตฺร บ้าง ผาลเนตฺร บ้าง อคฺนิโลจน บ้าง ทรงถือ ตรีศูล อาวุธอีกอย่างหนึ่งของพระองค์คือ ธนูปินาก ดังนั้น พระองค์จึงมีพระนามว่า ปินากี หรือ ปินากปาณิ ทั้งพระศิวะและโคนันทิพาหนะของพระองค์มีสีขาว สีขาวนี้บ่งบอกถึงความเที่ยงธรรมในการทำลายโลก พระศิวะมี สองกรบ้าง สี่กรบ้าง แปดกรบ้าง และสิบกรบ้าง นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังทรงถือ คทาชื่อ ขฏฺวางฺค ธนูชื่อ อชคว กวาง ลูกประคำหัวกระโหลก ฑมรุ (บัณเฑาะว์) มีพระนางคงคาและพระจันทร์อยู่ที่พระเศียร จึงมีพระนามว่า คงฺคาธร และ จนฺทฺรจูฑ ทรงสรวมพวงมาลัยทำด้วยหัวกระโหลก ทรงนุ่งหนังเสือดาวและใช้หนังช้างเป็นผ้าห่ม มีงูเป็นเครื่องประดับส่วนต่างๆของพระวรกาย

 

พระนาม 1008 ของพระศิวะ

คัมภีร์ลิงคปุราณะ กล่าวถึงพระนามของพระศิวะว่ามี 1008 ที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้

1)สฺถิร (มั่นคง)

2)สฺถาณุ(นิ่งไม่เคลื่อนที่เหมือนตอไม้)

3) ภานุ(พระอาทิตย์)

4)สรฺวาตฺมนฺ (อาตมัน=ชีพหรือชีวิตของทุกสิ่ง)

5) สรฺวกร (ทำทุกอย่าง)

6) ภว (ที่มาของทุกสิ่ง)

7) ชฏินฺ (มีมุ่นมวยผม)

8) สรฺวภูตหร (ผู้ทำลายสิ่งมีชีวิตทุกชนิด)

9) ศฺมสานวาสินฺ(อาศัยอยู่ในป่าช้า)

10) เขจร(ผู้เดินในท้องฟ้า )

11) โคจร (ผู้เดินบนดิน)

12) อุนฺมตฺตเวษ (ผู้อยู่ในรูปของคนบ้า

13)สหสฺรากฺษ(มีตาหนึ่งพัน)

14) มฤคพาณารฺปณ (ผู้ที่ยิงศรไปที่กวาง)

15) กมณฺฑลุธร (ผู้ถือหม้อน้ำกมัณฑลุ)

16) กปาลวานฺ (มีกระโหลกศรีษะมนุษย์)

17) สรฺวชฺญ (รู้ทุกอย่าง) 18) หร ((ผู้ทำลาย)

19)วฺฤษวาหน (มีโคเป็นพาหนะ)

20) อูรฺธฺวลิงฺค (มีอวัยวะเพศชูขึ้นเบื้องบน)

21) อโหราตฺร (กลางคืนและกลางวัน)

22) กามนาศก (ผู้ทำลายกามเทพ)

23) วิศฺวภุกฺ (ผู้กลืนกินจักรวาล)

24) วฺยาลาลรูปินฺ (มีรูปเป็นเสือ)

25) กาล (กาลเวลา/ความตาย) ฯลฯ

พระศิวะตามคติไทย

คตินี้กล่าวตามสมุดไทยที่ ประพันธ์ สุคนธะชาติ รวบรวมและจัดพิมพ์เผยแพร่ โดยให้ชื่อเรื่องว่า “นารายณ์สิบปางฉบับสมุดไทย” สมุดอ้างตอนท้ายฉบับว่า “แปลออกจากอักษร(คฤนถ์?)ตามคำภีร์ไสยสาตร4)” อักษรคฤนถ์หรือ ครันถะ ใช้อยู่ในภาคใต้ของอินเดียสมัยโบราณ ดั้งนั้นต้นเดิมของเรื่องในคัมภีร์ดังกล่าวก็น่าจะมาจากอินเดียภาคใต้ คัมภีร์ดังกล่าวมีชื่อว่าคัมภีร์ไสยศาสตร์ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง กล่าวเริ่มเรื่องว่า – เมื่อเพลิงบรรลัยกัลป์สังหารโลกสิ้นแล้ว มีแต่ความว่างเปล่า ครั้งนั้นพระเวทพระธรรมทั้งหลายก็มาประชุมกันเข้า ก็บังเกิดเป็นพระเจ้าองค์

คำว่าไสยศาสตร์ น่าจะเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำสันสกฤตว่า ไศวศาสตร์ (ไศว+ศาสฺตฺร) ซึ่งแปลว่า ศาสตร์หรือวิชกาการที่เกี่ยวกับพระศิวะ ซึ่งตรงกับเนื้อหาของลัทธิไสยศาสตร์ อันเป็นลัทธิที่เกี่ยวกับการใช้เวทมนตร์คาถา ในอินเดียลัทธินี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพวกที่นับถือว่าพระศิวะเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุด ซึ่งเรียกว่า ไศวะ ลัทธินี้ชาวอินเดียฝ่ายใต้นิยมนับถือมากกว่าอินเดียฝ่ายเหนือ

หนึ่งพระนามว่า ปรเมศวร พระปรเมศวรจึงเอาพระหัตถ์ลูบพระอุระแล้วสะบัดออกไปเบื้องพระพักตร์ เกิดเป็นพระเป็นเจ้าอีกองค์หนึ่งพระนามว่า อุมาภควดี ทั้งสองพระองค์ทรงปรึกษากันที่จะสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นในโลก พระอุมาเสนอแนะให้สร้างพระเป็นเจ้าขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง พระปรเมศวรจึงเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระหัตถ์ซ้าย เกิดเป็นพระนารายณ์ขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง จากนั้นพระปรเมศวรทรงใช้พระหัตถ์ซ้ายลูบพระหัตถ์ขวาบังเกิดเป็นพระพรหมธาดาขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง เมื่อพระเป็นเจ้าเกิดขึ้นมาครบสามองค์แล้วพระอิศวรจึงสำรอกพระมางสะจากพระอุทร บันดาลให้เป็นแผ่นดิน แล้วจึงเอาจุฬามณีที่ปักพระเกศาปักลงเหนือแผ่นดิน พระเป็นเจ้าทั้งสามองค์ก็บันดาลให้เป็นเขาพระสุเมรุ จากนั้นจึงสร้างเทวดาไว้ที่เขาพระสุเมรุ จากนั้นพระอิศวรทรงเปลื้องสังวาลย์บันดาลให้เป็นพระอนันตนาคราช อันมีศักดานุภาพยิ่งนัก ต่อมาอนันตนาคราชได้ท้าให้เทพทั้งหลายมาประลองฤทธิ์กับตน พระพายุจึงขันสู้กับอนันตนาคราช

มีคติอยู่ว่าในปีหนึ่ง ๆ พระอิศวรจะเสด็จลงมาเยี่ยมโลก มีกำหนดระยะเวลา 10 วัน โดยเริ่มแต่วันขึ้น 7 ค่ำ เดือนยี่ ถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน ยี่ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ พราหมณ์จะจัดพิธีเฉลิมฉลองเพื่อต้อนรับการเสด็จ ซึ่งเรียกว่า พิธีตรียัมพวาย ต่อจากนั้น ก็จะมีการโล้ชิงช้าและบวงสรวงสังเวยตลอดระยะเวลาดังกล่าว