พระวิษณุ

สศงฺขจกฺรํ สกิรีฏกุณฺฑลํ สปีตวสฺตฺรํ สรสีรุเหกฺษณมฺ |สหารวกฺษะสฺถลเกาสฺตุภศฺริยํ นมามิ วิษฺณุํ ศิรสา จตุรฺภุชมฺ ||

ข้าฯขอน้อมศีรษะไหว้พระวิษณุ ผู้ทรงถือสังข์และจักร สรวมมงกุฎและกุณฑล(ต่างหู) ทรงพัสตราภรณ์สีเหลือง มีพวงมาลัย มีแก้วเกาสตุภะและมีพระศรีอยู่ที่พระอุระ ผู้มีสี่กร

อากาศาตฺ ปติตํ โตยํ ยถา คจฺฉติ สาครํ |

สรฺวเทวนมสฺการะ เกศวํ ปฺรติ คจฺฉติ ||

การไหว้เทพทุกองค์ ย่อมไปถึงพระเกศวร(วิษณุ)

เหมือนน้ำฝนที่ตกจากท้องฟ้า ย่อมไปถึงมหาสมุทร

พระวิษณุซึ่งคนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันในนามว่าพระนารายณ์ เป็นหนึ่งในเทพที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์ สามองค์ ซึ่งเรียกรวมๆว่า ตริมูรฺติ ได้แก่ พระพรหมา พระวิษณุ และพระศิวะ เทพทั้งสามเป็นตัวแทน ของพระเป็นเจ้าสูงสุด(อีศวร)ซึ่งไม่มีรูปปรากฏแต่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ส่วนตริมูรตินั้นมีอายุขัยตามกาลเวลา ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่แทนพระเป็นเจ้าสูงสุด ในการสร้างโลก รักษาโลก และทำลายโลก กล่าวกันว่า หนึ่งวันของพระพรหมาเท่ากับยุค 4 ยุค 1000 ครั้ง และในชั่วชีวิตหนึ่งของพระพรหมา พระอินทร์ 14 องค์จะตก มาจากสวรรค์และสิ้นชีวิต อายุของพระพรหมา 2 องค์จะเท่ากับอายุของพระวิษณุ 1 องค์ อายุของพระศิวะจะยาว เป็น 2 เท่าของอายุของพระวิษณุ

กำเนิดพระวิษณุ

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลสูญสิ้นไปในยุคประลัย ทั่วจักรวาลมีเพียงน้ำ ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลา 120 ปีของพระพรหมา จักรวาลจะมีแต่ความว่าง ในความว่างเปล่าเงียบสงัดนั้น พระวิษณุบรรทมอยู่เหนือ ใบต้นไทรที่ลอยอยู่เหนือน้ำ นั้นคือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากพระองค์อยู่เหนือน้ำจึง มีพระนามว่า นารายณะ อีกนามหนึ่ง คำว่าวิษณุ หมายความว่า ผู้ที่แทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่งโดยธรรมชาติ ตอนที่พระวิษณุเป็นเด็กพาลมุกุณฑะบรรทมอยู่เหนือใบต้นไทร พระองค์เกิดความคิดขึ้นมาว่า “เราคือใคร” “ใครสร้างเราขึ้นมา” “ทำไม” “เราจะต้องทำอะไร” ทันใดนั้นก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นว่า “ข้าฯคือทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากข้าฯแล้วไม่มีสิ่งใดอยู่ชั่วนิรันดร์” เบื้องหลังคำพูดนั้นมหาเทวีก็ปรากฏขึ้นและกล่าวว่า “นี่วิษณุ ท่านจะฉงนสนเท่ห์ไปทำไม เมื่อจะต้องมีการสร้างโลกรักษาโลกและทำลายโลก ท่านจึงปรากฏตัวขึ้นมาด้วยความกรุณาของพระเป็นเจ้าสูงสุดผู้ทรงอำนาจทุกอย่าง พระเป็นเจ้าสูงสุดนั้นอยู่เหนือคุณสมบัติใดๆ ส่วนตัวท่านมีคุณสมบัติ คือ สัตตวคุณ(ความดี-ความบริสุทธิ์) พระพรหมามีคุณสมบัติ คือ รโชคุณ(ภาวะไม่อยู่นิ่ง-อารมณ์รักเกลียด) พระศิวะมีคุณสมบัติ คือ ตโมคุณ(ภาวะเฉื่อย-ความมืด) ส่วนตัวเราที่กำลังพูด คือ เทวีมายา (สิ่งที่ลวงให้เข้าใจไม่ถูกต้อง-ที่มีรูปร่างปรากฏเป็นตัวบุคคลในฐานะเป็นชายาของพรหมพระเป็นเจ้าสูงสุด) เป็นตัวพลังที่ต้องอาศัยท่านเพื่อการสร้างโลก” เมื่อได้ฟังคำนี้แล้ว พระวิษณุจึงเข้าสู่สมาธิที่เหมือนการบรรทมหลับ

ศาสนาดั้งเดิมซึ่งคนไทยเรียกว่าศาสนาพราหมณ์ ชาวอินเดียจะเรียกว่า “สนาตน(สะ-นา-ตะ-นะ)ธรรม” แต่ชื่อที่รู้จักกันทั่วไปปัจจุบันคือ ศาสนาฮินดู พวกที่นับถือพระวิษณุว่าเป็นพระเจ้าสูงสุด คือพวก “ไวษณวะ” แต่คนไทยเรียกให้เป็นเสียงแบบไทยว่า “ไวษณพ”   พวกไวษณพ ถือว่าโลกนี้มีต้นกำเนิดมาจากพระวิษณุ ทุกสิ่งทุกอย่าง มาจากพระวิษณุ  เรื่องลึกลับวิจิตรพิสดารของศาสนาฮินดูเกี่ยวกับการเกิดมาของโลกกล่าวไว้ว่า พระวิษณุบรรทมหลับอยู่ในมหาสมุทรอันมีตั้งแต่ต้น ประทับอยู่เหนือพระยานาค 1000 เศียรชื่อ  เศษะ ขณะที่พระองค์บรรทมหลับอยู่ดอกบัวได้งอกออกมาจากพระนาภีของพระองค์ และในดอกบัวนั้นพระพรหมาได้เกิดขึ้น พระพรหมาเป็นผู้สร้างโลก เมื่อโลกถูกสร้างเสร็จพระวิษณุทรงตื่นจากบรรทม เพื่อจะครองโลกอยู่ในสวรรค์อัน สูงสุด คือ ไวกุณฐะ พระองค์ถูกกล่าวถึงว่าเป็น  บุรุษ  มี  4  กร สีกายสีน้ำเงินเข้ม สรวมมงกุฎและประทับเหนือบัลลังก์  พระหัตถ์ถือ สิ่งที่เป็น สัญลักษณ์ประจำพระองค์ คือ สังข์ จักร คทา และดอกบัว ประดับรอบพระศอด้วยรัตนะศักดิ์สิทธิ์ชื่อ  “เกาสตุภะ” ที่พระอุระมีพระโลมาที่หมุน เวียนขวา(ศรีวัตสะ) พระองค์มีพระยาครุฑเป็นพาหนะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรูปปั้นหรือภาพสลักจะเป็นรูปนกที่มีหน้าเป็นมนุษย์   ซึ่งอาจจะบ่งชี้ว่าเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากลัทธิที่กราบไหว้บูชาเทพที่มีรูปครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ในสมัยโบราณ ซึ่งได้ไปเกี่ยวข้องกับเทพที่มีนามว่า “วาสุเทพ” ในยุคโปราณของอินเดียแล้ว วาสุเทวะเป็นรูปที่อยู่ในสมัยแรกๆรูปหนึ่งของพระวิษณุเมื่อเฮลลิโอโดรุส (Helliodorus) ตั้งเสาของเขาขึ้นที่เมือง  เพสนคร พระลักษมีเป็นชายาของพระวิษณุ  เป็นเทพสตรีที่มีความสำคัญโดยตัวของพระนางเอง โดยไม่ต้องอาศัยพระวิษณุ คือมีคนกราบไหว้บูชามากมายเพราะเป็นเทพีทีเชื่อกันว่า จะให้เกิดความร่ำรวยมีโชคลาภ เหมือนที่ชาวไทยนับถือนางกวัก

เรื่องราวที่เก่าที่สุดเกี่ยวกับพระวิษณุในฐานะพระเป็นเจ้าแห่งโลกทั้งหมด เทพอื่นๆเป็นเพียงลักษณะหลายๆลักษณะของพระวิษณุ    และเทพอื่นๆเป็นผู้ที่ออกมาจากพระวิษณุนั่นเองปรากฏเก่าไปถึง คัมภีร์ภควัทคีตา

“ต่อไปนี้ ฉันจะกล่าวถึง อำนาจวิเศษของฉันที่ สำคัญๆ……….

แม้ว่าความเป็นผู้เต็มของฉันหาที่สุดมิได้

ฉันเป็นอาตมันที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในใจของทุกสิ่งที่เกิดมา

ฉันเป็นที่เริ่มต้น เป็นตรงกลาง และเป็นที่สุดของการ สร้างทั้งหมด

ในบรรดาศาสตร์ทั้งหลายฉันเป็นศาสตร์เกียวกับดวงชีวิต(อาตมัน)

ฉันเป็นตัวคำพูดของคนที่พูด

ในบรรดาตัวหนังสือฉันเป็น อักษร อ (อักษรตัวแรก)

ฉันเป็นเวลาที่ไม่มีวันจบสิ้น

ฉันเป็นพระพรหมธาดาผู้ สร้างโลกที่หันหน้าไปทุกทิศ

ฉันเป็นตัวความตายผู้ทำลายล้างทุกอย่าง

ฉันเป็นแหล่งเกิดของสิ่งที่จะมีในอนาคต

ฉันเป็นการเล่นพนัน สะกา สำหรับผู้เล่นพนัน

ฉันเป็นตัวเกียรติยศ ของผู้มีเกียรติยศ

ฉันเป็นตัวชัยชนะ ฉันเป็นตัวความกล้าหาญ

ฉันเป็นตัวความดีของผู้มีคุณความดี

ฉันเป็นตัวความนิ่งเงียบของที่ที่ลี้ลับ

ฉันเป็นตัวความรู้แท้ของผู้ที่มีความรู้แท้

ฉันเป็นตัวเชื้อของทุกสิ่งที่เกิดมา

ถ้าไม่มีฉันจะไม่มีสิ่งใดมีอยู่ได้

อำนาจวิเศษของฉันไม่มีวันจบสิ้น

สิ่งใดก็ตามที่มีพลังอำนาจ หรือมีโชคดี หรือ แข็งแรง

สิ่งนั้นเกิดจากส่วนที่เป็นเดชอำนาจของฉัน”

เทพที่เป็นคู่ของพระวิษณุ คือ พระศิวะ มีอุปนิสัยร้ายน่ากลัวตรงกันข้ามกับพระวิษณุที่คนนึกถึงในฐานะเทพผู้มีจิตใจประกอบไปด้วยสิ่งที่ดี พระองค์ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของโลก เนื่องจากทรงคิดเช่นนี้ พระองค์จึงต้องอวตารมาเกิดในโลกมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า การอวตารนี้มีทั้งมาแบบหมดทั้งตัว เรียกว่า “อวตาร” มาเพียงบางส่วน เรียกว่า “อํศาวตาร” มาแบบเฉพาะกิจ เรียกว่า “อาเวศ”

อวตารของพระวิษณุ

คำสอนเกี่ยวกับเรื่องอวตารของพระเป็นเจ้าที่เก่าที่สุดพบในคัมภีร์ภควัทคีตา ซึ่งในคัมภีร์นั้นพระกฤษณะเปิดเผยพระองค์เองว่า คือ อวตารของพระเป็นเจ้าผู้ไม่เคยอยู่นิ่งเฉย

“แท้จริงแล้วฉันไม่เกิด ไม่เปลี่ยนแปลง

ฉันเป็นเจ้าของทุกสิ่ง

และเป็นนายที่มีอำนาจเต็มในการควบคุมธรรมชาติของฉันเอง

ถึงกระนั้นก็ตามฉันได้ใช้พลังอำนาจของฉันทำให้ฉันเกิดมา

เมื่อใดความถูกต้อง(ธรรม)เสื่อมและความไม่ถูกต้อง(อธรรม)เจริญ

ฉันก็จะถือกำเนิดแบบมีร่างกายขึ้นมา

เพื่อปกป้องผู้ที่ทำถูกต้องและเพื่อทำลายล้างผู้ทำไม่ถูกต้อง

เพื่อนำสิ่งที่ถูกต้อง(ธรรม)กลับมาประดิษฐานใหม่

ฉันจะเกิดทุกยุคทุกสมัย”

อวตารแบบเต็มที่ของพระวิษณุมีทั้งหมดมี 10 ปาง คือ

1. อวตารเป็นปลา (มตฺสฺยาวตาร)

2. อวตารเป็นหมูป่า (วราหาวตาร) เพื่อยกแผ่นดิน (ภูเทวี) ที่จมอยู่ที่บาดาลชั้น

รสาตละ ขึ้นมา

3. อวตารเป็นเต่า (กูรฺมาวตาร)

4. อวตารเป็นนรสิงห์ (นรสิงฺหาวตาร)

5. อวตารเป็น พราหมณ์ วามนะ (วามนาวตาร)

6. อวตารเป็นปรศุราม (ปรศุรามาวตาร)

7. อวตารเป็น ศรีราม เพื่อปราบราวณะ หรือ ทศกัณฐ์ (รามาวตาร)

8. อวตารเป็นพระฤษณะ (กฺฤษฺณาวตาร)

9. อวตารเป็นพระพุทธเจ้า (พุทฺธาวตาร)

10. จะอวตารเป็น กัลกิ (กลฺกฺยาวตาร)

แต่เมื่อรวมปางทีพระวิษณุมาเพียงบางส่วนหรือมาแบบเฉพาะกิจ มีดังนี้

11. พระพรหมา เป็นสนัตกุมาร ดำเนินชีวิตเป็นนักเรียนที่ถือเพศพรหมจรรย์ซึ่งเรียกว่า

พฺรหฺมจารี

12. พระเป็นเจ้าสูงสุดเป็น เทวฤาษีนารท เพื่อสอนลัทธิปัญจราตระ

13. พระวิษณุเป็นฤาษี 2 ตน คือ นระ และ นารยณะ เพื่อบำเพ็ญตบะที่ยากที่จะทำได้สำหรับคนทั่วไป

14. พระวิษณุเป็น กปิละ เพื่อสอน ปรัชญาสางขยะ

15. พระวิษณุเป็น ทัตตาเตรยะ ลูกของฤาษีอัตริ

16. พระวิษณุเป็นยัชญะ ลูกของประชาปติ นามว่า รุจิ

17. พระวิษณุเป็นลูกของ ภควาน นาภิ

18. พระวิษณุเป็น พระราชาปฤถุ

19. พระวิษณุเป็นธันวันตริ

20. พระวิษณุเป็นนางโมหินี

21. พระวิษณุเป็นพลราม