พระยมนี้ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งคนตาย มีนามเรียกเป็นอันมาก เช่น ยมราช ยมเทพ หรือ ธรรมราช
บางทีก็เรียกว่า พระกาล หรือตามภาษา มคธ มักเรียกว่า ท้าวมัจจุราช ใน พระเวท ออกนามพระยมว่า
สํคมโน ชนานาม แปลว่าผู้รวบรวมคน และว่าเป็นใหญ่เหนือปิตฤทั้งหลาย (คือต้นโคตรแห่งคนที่ล่วง
ลับไปแล้ว) ตามตำรับของจีนเรียกชื่อพระยมว่า เงี่ยมล่ออ๋อง หรือ เง่นม่อล่อ ก็เรียก ทางแขก (อิสลาม)
เรียกว่า ท้าวอิสราอิล เป็นเทวราชสำคัญองค์หนึ่ง เป็นผู้ชั่งบุญบาปแห่งวิญญาณของมนุษย์ที่ตายไป
ทำนองเดียวกับความนิยมของพวกพราหมณ์ที่มีในพระยมฉะนั้น

ส่วนเจ้าหน้าที่รองจากพระยมยังมีอีกมาก เช่นที่เรียกกันว่าพระจิตรคุปต์ (คนเรามักเรียกเพี้ยนว่าเจ็ตคุก)
นายรองของอิสราอิลมีชื่อว่าทาปัก เทวดาทั้งสองนี้มักเรียกปนๆกันอยู่กับยมบาล แต่เขาจัดไว้ว่าเป็น
นายรอง สำหรับมีหน้าที่กระทำทัณฑกรรมแก่สัตว์ที่ตกไปในนรก และเป็นผู้ถือทะเบียนคนตาย (ทะเบียน
นี้ชื่ออรรคสันธานา) นัยหนึ่งเรียกกันว่านายนิรยบาล ว่ากันว่าเป็นผู้ที่มีน้ำใจเหี้ยมโหดดุร้ายนัก

ในตำรับไสยศาสตร์ว่า พระยมนี้เป็นมนุษย์คนแรกในมนูยุคที่ ๗ เป็นพี่ชายมนูองค์ที่ ๗ เป็นโอรสพระวิวัสวัต
(พระอาทิตย์) กับนางสรัณยู (บางแห่งว่ากับนางสัญญา) พระยมมีชายา ๑๓ นาง เป็นธิดาพระทักษประชาบดี
มีนามดังต่อไปนี้คือ

๑.
นางศรัทธา  มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ กาม (ใคร่)
๒.
นางลักษมี  มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ ทรรป (หยิ่ง)
๓.
นางธฤติ มีบุตรเกิดกับนางนี้ ี้ชื่อ นิยม (พอใจ)
๔.
นางดุษฎี มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ สันโดษ (ขีดคั่น)
๕.
นางปุษฎี มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ โลภ (อยากได้)
๖.
นางเมธา มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ ศรุต (เรื่องที่สดับ)
๗.
นางกิริยา มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ ทัณฑ์ (แก้ไข)
๘.
นางพุทธิ มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ โพธ (เข้าใจ)
๙.
นางลัชชา มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ วินัย (มรรยาทดี)
๑๐.
นางวปุ มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ พยัพสาย (ขยัน)
๑๑.
นางศานติ มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ เกษม (สิ้นภัย)
๑๒.
นางสิทธิ มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ สุข (สบาย)
๑๓.
นางเกียรติ มีบุตรเกิดกับนางนี้ ชื่อ ยศ (มีชื่อเสียง) 

และพระยมยังเคยมีบุตรอีกองค์หนึ่งอันเกิดแก่นางกุนตี มเหสีท้าวปาณฑุชื่อยุริษเจียร และมีกนิษฐภคินี
ชื่อว่ายมี ลักษณะของพระยมนั้น ตามคัมภีร์ มหาภาตะว่า รูปร่างใหญ่โต หน้าเป็นคนดุร้าย สีกายเลื่อม
ประภัสสร (สีเหมือนพระอาทิตย์แรกขึ้น) ใสอย่างแก้ว หรือนัยหนึ่งว่าสีเขียว นัตน์ตาวาว (บอกลักษณะดุร้าย)
ทรงมงกุฎ นุ่งห่ม สีแดงเลือด มือถือบ่วง เรียกว่ายมบาศ และถือไม้ชื่อยมทัณฑ์ วิมานแล้วไปด้วยทองแดง
และเหล็ก มีมหิสาเป็นพาหนะ และมักเขียนรูปเป็นสี่กร หน้าที่สำคัญของพระยม ว่าเป็นโลกบาลทิศทักษิณ
และมีหน้าที่เป็นตุลาการของเปตชน และวินิจฉัยชั่งความดี (บุญ) ความชั่ว (บาป) แห่งมโนผู้ที่ล่วงลับไป
ถ้าความดีมีมากก็ส่งไปสวรรค์ ถ้าชั่วมากก็ส่งไปนรก สำหรับการทรมานใช้บาปที่ตนกระทำไว้

พระยมนี้นัยว่าเดิมเป็นกษัตริย์ครองนครไพศาลี ในขณะที่ทำศึกอย่างฉกรรจ์ได้อธิษฐานขอเป็นเจ้านรกการ
นั้นก็สมปรารถนา แม่ทัพ ๑๘ คนกับ ทหาร ๘๐,๐๐๐ คนก็ตามไปเกิดในนรกด้วย แบ่งหน้าที่ต่างๆ กันแต่
พระยมยังมีกรรมตามสนองอันหนึ่งที่ตนได้กระทำไว้ คือในระยะ ๒๔ ชั่วโมงจะมีปีศาจมากรอกน้ำทองแดง
ลงไปในปากสามครั้งเสมอๆไปจนกว่าจะสิ้นกรรมจึงจะได้ไปบังเกิดเป็นท้าวสมันตราช

พระยมนี้มีที่อยู่เป็นเมืองใหญ่โตมาก ในตำรับว่าด้วยนรกภูมิว่า อยู่ใต้แผ่นดินที่พวกเราอยู่กันเดี๋ยวนี้ เรียกว่ายมโลก คือเมืองนรก เมืองนรกมีเขตที่สำหรับทรมานสัตว์บาปมากมาย ว่าสำหรับเขตที่ใหญ่เรียก
ว่าขุม มีแปดขุม เรียงลำดับ ลงไปเป็นชั้นๆ คือ ๑ สัญชีวนรก ๒ กาลสูตรนรก ๓ สังฆาฏนรก ๔ โรรุวนรก ๕ มหาโรรุวนรก ๖ ตาปนรก ๗ มหาตาปนรก ๘ อเวจีนรก

นอกจากนี้ยังมีขุมเล็กๆน้อยๆอีกเป็นอันมากอยู่ในความอำนวยการของพระยมทั้งสิ้น ส่วนความนิยมทาง ไสยศาสตร์ว่าเมืองของพระยมชื่อยมปุระ อยู่นอกขอบจักรวาลในทักษิณเทศเข้ารูปที่ว่าพระยมเป็น โลกบาล ทิศทักษิณ แต่ใน เทวภูมิว่า พวกโลกบาลทั้งสี่อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาพระยมก็เป็นโลกบาล ในทิศ ทั้งสี่กับเขาด้วยองค์หนึ่ง จึงอาจจะต้องถูกเกณฑ์ให้ไปอยู่สวรรค์ชั้นนี้ด้วยก็ได้

ส่วนทางศาสนาอิสลามเรียกนรกว่ายะหะนัม ว่าเป็นที่อยู่ของพระยมเหมือนกัน แต่เรียกชื่อ พระยมว่า ท้าว อสราอิลมหาราช อิสลามจัดนรกไว้เพียงเจ็ดขุม คือ ขุม ๑ สำหรับลงโทษผู้ที่ไม่ถือศาสนา ซ้ำปฏิเสธ ว่าไม่มีผู้สร้าง ขุม ๒ สำหรับลงโทษพวกมานีเดียน คือพวกถือศาสนาคริสเตียนครึ่งหนึ่งศาสนาปาร์ซีครึ่งหนึ่ง (ศาสดาแมนนิสตั้งขึ้นเมื่อคริสต์ศักราช ๒๖๑) กับพวกอาหรับที่ยังถือรูปเคราพ ขุม ๓ สำหรับพวกพราหมณ์
ในอินเดีย ขุม ๔ สำหรับพวกยิว ขุม ๕ สำหรับพวกคริสเตียน ขุม ๖ สำหรับพวกมาเยียนถือ ศาสนาเปอร์เซีย
ขุม ๗ สำหรับพวกหน้าไหว้หลังหลอก ปากว่าเชื่อแต่ใจไม่ถือศาสนาอิสลามจริง

เมืองซึ่งเป็นที่อยู่ของพระยมนี้ เกือบทุกศาสนาได้จัดไว้หมือนๆกันแต่ต่างลัทธิในการที่จะจับคนลงนรกก็คือว่า ผู้ใดไม่ถือศาสนา หรือปฏิบัติตามวินัยหรือข้อบังคับของผู้ที่ได้ตั้งขึ้นอย่างเคร่งครัด ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าบาปแล้ว
ก็จับผู้บาปนั้นและทุ่มลงนรกโดยไม่ปรานีปราศรัย