โดยไม่ได้ให้สัญญาณอะไร ขณะที่พาหนะพระโคนันทิ ห้ามพระศิวะว่าขณะนี้แม่ปารวตีกำลังอาบน้ำอยู่ แต่พระศิวะก็ไม่หยุด แม่ปารวตีก็รู้สึกละอายใจ ตั้งแต่วันนั้นก็คิดว่า ชยา กับ วิชยา นั้นพูดถูกว่า คนของพระศิวะจึงห้ามพระศิวะไม่ได้ ควรจะมีคนของฉันโดยเฉพาะ เมื่อตั้งใจแล้ว วันหนึ่งทาน้ำมันและถูตัวอยู่ ไคลตัวออกมาพอสมควรก็สร้างรูปเด็กงามมาก และใส่วิญญาณเข้าไปในนั้น แล้วให้พรว่าเธอเป็นโอรสของฉัน มีหน้าที่นั่งหน้าประตูและรักษาการอย่าให้ใครเข้ามาในถ้ำที่มารดาประทับอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต และให้อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ไม่ว่าใครก็ตามไม่ให้เข้ามาเด็ดขาด ครั้นเวลาผ่านไปพระศิวะไปถึงที่หน้าประตู แต่ลูกของปารวตียังไม่เคยรู้จักกับพระศิวะ พระศิวะก็ไม่รู้จักเขา ครั้นพระศิวะจะเข้าไปข้างในก็ถูกโอรสนั้นห้าม จึงเกิดการต่อสู้กับพระศิวะ จึงให้พวกภูตปีศาจไปสู้กับโอรสนั้น แล้วกล่าวว่าที่นี้เป็นบ้านฉัน ฉันเป็นเจ้าของที่นี้ จะบอกอย่างไรลูกของพระแม่ปารวตีก็ไม่เชื่อ ครั้นสุดท้ายก็อนุญาตให้พวกคณะของพระองค์สู้กับลูกของปารวตี พวกคณะพระศิวะสู้ไม่ได้ ดังนั้นพระศิวะจึงยกตรีศูลไปตัดพระเศียรโอรสของพระแม่ปารวตี แล้วเมื่อพระแม่ปารวตีได้ยินว่าลูกของพระนางถูกประหารด้วยพระหัตถ์ของพระศิวะ ก็ทรงพิโรธจึงมีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจากร่างกาย มี กรานี กุชะกา สัญญา โยคินีต่าง ๆ ยักษ์คินีต่าง ๆ ปรากฏขึ้นเป็นพัน ๆ องค์ แล้วไปสู้กับคณะของพระศิวะ พระแม่ปารวตีสั่งว่า เห็นวิญญาณของใครให้จับกินได้เลย พวกนี้ก็กระทำกับมนุษย์ ฤาษี มุนี เทวดา เมื่อใครอยู่ต่อหน้าก็ถูกจับแล้วกลืนเข้าไป

ตั้งแต่นั้นความวินาศก็เกิดขึ้น พวกเทวดาต่าง ๆ ก็ไปหาพระศิวะ และอ้อนวอนว่าตอนนี้พระแม่ปารวตีทรงพิโรธใหญ่ ไม่มีใครจะลดความพิโรธของพระแม่ปารวตีได้ พระศิวะตรัสว่าไม่มีทางอื่นเพราะลูกของเขาตายไป แต่ถ้าลูกของเขามีชีวิตคงจะลดความพิโรธได้ มีอยู่ทางเดียวให้ไปทางทิศเหนือ ถ้าพบสิ่งมีชีวิตอะไรก่อนก็ตัดศีรษะมา เทวดาที่พระศิวะสั่งให้ไปก็พบช้างเชือกหนึ่ง จึงได้ตัดศีรษะแล้วต่อเข้ากับร่างลูกของพระแม่ปารวตีนั้น แล้วพระศิวะก็ใช้อมฤตชุบชีวิตขึ้นมา พวกฤษี มุนีทั้งหลายจึงได้ร้องตะโกนไชโยว่าลูกพระแม่ปารวตีมีชีวิตแล้ว พระแม่ปารวตีได้ยินเทวดาทุกองค์ และพระศิวะให้พรแก่ลูกของพระองค์ว่า อิทธิฤทธิ์ของพวกเราทั้งหมดรวมอยู่ในร่างกายของเธอ ที่ไหนมีบูชายัญญ์ หรืองานประเภทต่าง ๆ ให้บูชาพระคเณศ แล้วจึงค่อยบูชาเทพองค์อื่น ๆ พระแม่ปารวตีก็ดีใจ หายพิโรธ พระศิวะจึงประกาศว่าพวกที่เป็นคณะต่าง ๆ ของเรา ขอให้ลูกของพระแม่ปารวตีเป็นเจ้าของคณะทั้งหมด จึงได้ชื่อว่า คเณศ หรือ คเณศวร

กายของพระคเณศสวยงามมากขณะที่พระพรหม , พระวิษณุ , และ พระศิวะ ก็ทรงถูกพระทัยพระคเณศแต่งกายด้วยผ้าสีแดง สีเหมือนพระอาทิตย์ตอนอัสดง เล็บของพระคเณศมีสีเหมือนดอกบัวแดง มีสี่พระกรถืออาวุธ มีดาบ ลูกศร ,คันศร ,และ ศักติคือสูญ เศียรของพระคเณศมีรังสีกระจายไปทุกทิศ สวมมงกุฎ นิ้วสวมเครื่องเพชรอัญมณีต่าง ๆ ทาจันทร์ทั้งตัวหูทั้งสองข้างมีกุณฑล หน้าอกกว้างมาก ร่างกายทั้งหมดเป็นเหมือนมนุษย์ มีแต่พระพักตร์เป็นช้าง ผู้ที่ระลึกถึงรูปพระองค์ ผู้นั้นมีความสามารถชนะอุปสรรคได้และประสบความสำเร็จ

พระคเณศมีรูปลักษณะหลายประการ บางสมัยก็มี ๔ พระกร ๓ พระกร ๖ พระกร ๘ พระกร บางแห่งมี ๑ พักตร์ ๕ พักตร์ บางทีพระองค์ทรงชุดสีเหลือง ใส่ยัชโญปวิตซึ่งเป็นพญานาคท่านสวมมาลาอัญมณี ที่พระจันทร์มอบให้พระองค์ ร่างกายของพระองค์มีกำลังมหาศาล ขนาดช้างเอราวัณของพระอินทร์ก็สู้พระคเณศไม่ได้ เท้าของพระคเณศเทียบเท่ากับอักษร อ ตรงกลางของร่างกายเทียบเท่ากับอักษรตัว อุ และบนคอ คือเศียรทั้งหมดเทียบเท่ากับอักษร ม รวมกันแล้วกลายเป็นโอม โอม หมายถึงทั่วทั้งจักรวาล อยู่ในโอม เกิดจากโอม และครั้งสุดท้ายก็หายเข้าไปในโอม มีความหมายว่า ทั่วทั้งจักรวาล เกิดจากพระคเณศ และตอนมหาประลัยแล้ว ก็เข้าไปในรูปพระคเณศ โอมก็คือ พระคเณศ
แต่ละสมัยพระคเณศ มีอาวุธถือไว้มากมาย

รูปที่มี ๑๐ พระกร ถืออาวุธต่าง ๆ คือ ปัทมะ ศักตะ คัตทะกา ปาศะ อังกุศะ คทา ตรีศุล ปัทมะ จักร นอกจากนั้น บางปางยังถือ ธง ลูกศร ธนู (คันศร) หม้อน้ำ ติศุทันทะ (ต้นอ้อย) งา ไม่ว่ารูปพระคเณศรูปใดก็ตาม ต้องถืออังกุศะกับปาศะ อาวุธทั้งสองนี้สำคัญ พระองค์ทรงถือไม่ได้ขาด ปาศะบางรูปเห็นเหมือนพญานาค ๗ เศียร บางแห่งพระคเณศถือขวาน และตรีศูล พาหนะของพระคเณศในคัมภีร์ปุราณะต่าง ๆ มีพรรณาไว้ ๓ ประเภท คือ สิงหะ มยูระ มูสะกะ (หนู) เคยมีมหามุนี คษตสมท ท่านบำเพ็ญตบะเพื่อต้องการเห็นรูปพระคเณศและขอพร เมื่อพระคเณศปรากฏต่อหน้า พระคเณศอยู่บนสิงโตมี ๕ พักตร์ ๑๐ พระกร ทุกพักตร์มี ๓ ตา มีรัศมีเหมือนพระอาทิตย์ มีเสียงโบกใบหู บนพระเศียรมีพระจันทร์ประทับอยู่ที่พระศอคล้องมาลัยที่ทำด้วยดอกบัว สวมยัชโญปวิตที่เป็นพญานาค ข้างซ้ายและข้างขวามีมเหสี ๒ องค์ คือ สิทธิ กับ พุทธิ

มีตำนานกล่าวถึงพาหนะที่เป็นหนูว่า มีอสูรตนหนึ่งชื่อ คชมุขคาสุระ ครั้งหนึ่ง อสุระ คชมุขคาสุระกับพระคเณศ เกิดสู้รบกันในสมรภูมิ พระคเณศงาหักข้างหนึ่ง งาที่หักไปแล้วถือเป็นอาวุธต่อสู้กัน อสุระคชมุขคาสุระ เห็นว่าจะสู้ไม่ได้จึงแปลงร่างเป็นหนูหนีไป แต่หนีไม่พ้น พระคเณศจับได้จึงกลายเป็นพาหนะของพระคเณศในร่างหนู

ไม่ว่าพาหนะขององค์เทพองค์ใด พาหนะนั้นก็มีความศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับองค์เทพนั้น ๆ มิฉะนั้น หนูตัวเล็ก ๆ จะรับภาระองค์พระคเณศได้อย่างไร ในทางปรัชญาศาสตร์ เวทางคศาสตร์ รูปของพระพรหม หรือ อาตมะตัตวะ หมายถึง วิญญาณต่าง ๆ ได้พลังจากศูนย์อะไร จุดศุนย์นั้นเรียกว่า อาตมะตัตวะ อาตมะตัตวะนั้นไม่มีความหนัก ไม่มีความเบา พระคเณศก็เป็นอาตมะตัตวะ ไม่ว่าจะเห็นร่างกายใหญ่โตแค่ไหน ความหนักความเบานั้นไม่มี หนูตัวเล็ก ๆ ก็เป็นอาตมะตัตวะเช่นเดียวกัน จึงไม่เล็กไม่ใหญ่มีอุปนิษัทเล่มหนึ่งชื่อว่า พฤหทรัณยะกะ บัญญัติ ตัวหนูที่เป็นพาหนะพระคเณศเป็นปรมาตมัน ในทางเปรียบเทียบตัวหนูนั้นคือ กิเลส เป็นตัวแทนกิเลสต่าง ๆ พระคเณศเป็นตัวแทนชญาณ และความสว่างตัวหนูเป็นตัวแทนความมืดและกิเลส

ฉะนั้นผู้ที่ต้องการชนะกิเลสชนะความมืด อารธนาพระคเณศ และอยู่กับพระคเณศ และค่อย ๆ รับเข้าไปในตนเอง ก็จะมีความสามารถชนะกิเลส ชนะความมึดได้ ในกลียุคพระคเณศและพระแม่อุมาทรง โปรดมนุษย ผู้บูชาพระองค์มาก ในเดือน ๙ แรม ๔ ค่ำ และเดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ ทั้ง ๒ วันนี้ เป็นวันบูชาประจำปี สำหรับวันบูชาของทุกเดือน ใช้วันขึ้นหรือแรม ๔ ค่ำ เดือนละ ๒ ครั้ง ของที่ถวายพระคเณศมีสิ่งของต่าง ๆ แต่หญ้าแพรกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โมทกะ (ขนมหวาน) พระคเณศชอบมาก โมทัก แปลว่า อานันทะ คือ ความสุข ความดีใจที่เป็นไปด้วยความสุข โมทกทำด้วยของ ๓ ประเภท เอาแป้งถั่ว (จะนา) ทอดในน้ำมันเนย น้ำตาล น้ำเชื่อมของน้ำตาลสุกพอสมควรทำเป็นขนมกลม ๆ หรือทำด้วยแป้งถั่วเหลือง บางทีทำด้วยมะพร้าว เอามะพร้าวขูดแล้ว เอาแป้งสาลี หรือ แป้งข้าวจ้าวใส่น้ำตาลทำเป็นโมทก

หน้าที่ : 1 | 2 | 3